อารยธรรมตะวันตก

อารยธรรมตะวันตก อารยธรรมโบราณ ถือเป็นรากฐานแห่งความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่อไป แหล่งกำเนิดอารยธรรมในโลกตะวันตกประกอบด้วยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมกรีก และอารยธรรมโรมัน ซึ่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์ ถือเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกตะวันตก อารยธรรมทั้งสองเกิดขึ้นในดินแดนที่คล้ายคลึงกัน แต่ภูมิประเทศแตกต่างออกไป ทำให้มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากอารยธรรมทั้งสองนี้โดยเฉพาะอารยธรรมอียิปต์ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการก่อตัวของอารยธรรมกรีก ชาวโรมันเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมกรีก และสืบเนื่องจนกลายเป็นอารยธรรมโรมันที่แผ่ขยายไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่จักรวรรดิโรมันเคยยึดครอง และได้กลายเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมของโลกตะวันตกในปัจจุบัน

“เมโสโปเตเมีย” เป็นภาษากรีก แปลว่า “ระหว่างแม่น้ำ” หมายถึงภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในหุบเขาแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิรัก

อารยธรรมเมโสโปเตเมียมีเอกลักษณ์เฉพาะหลายประการ ทั้งสองเป็นกลุ่มอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เท่าที่บันทึกยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันและเป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานความรู้และเทคโนโลยีจากหลายเชื้อชาติเข้าด้วยกัน โดยได้รับและต่อยอดแนวความคิดตลอดนับพันปี

สาเหตุที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียเกิดจากการผสมผสานความรู้และเทคโนโลยีจากชนเผ่าต่างๆ มากมาย เกิดจากการเป็นที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำใหญ่สองสาย ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ “ดินแดนรูปจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” (Fertile Crescent) ซึ่งล้อมรอบด้วยพื้นที่แห้งแล้งและแห้งแล้งคล้ายทะเลทราย ทำให้ผู้คนต่าง ๆ ตั้งใจจะมาแย่งชิงพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์นี้ แต่เมื่อคุณสามารถควบคุมดินแดนนี้ได้ กลับสามารถรักษาอำนาจไว้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อถูกรุกรานผู้มาใหม่ก็พ่ายแพ้ เพราะการป้องกันตามธรรมชาติไม่แข็งแกร่งพอ ที่จะช่วยปกป้องผู้อาศัยในแหล่งกำเนิดอารยธรรมแห่งนี้

ผู้ที่เคยยึดครองเมโสโปเตเมีย จึงเปลี่ยนมือตลอดประวัติศาสตร์ กลุ่มสำคัญที่เข้ามาครอบครองดินแดนนี้คือ ชาวสุเมเรียน อัคคาเดียน ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ คัสไซต์ อัสซีเรีย และชาวเคลเดีย ก่อนที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียจะยุติลง และในที่สุดก็ถูกจักรวรรดิเปอร์เซียยึดครอง

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมตะวันตก

อารยธรรมตะวันตก ชาวสุเมเรียน (3,500 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ที่พิชิตพื้นที่นี้ ก่อนที่จะถูกยึดครองโดยชาวอัคคาเดียน ยึดครองอารยธรรมที่ถือกำเนิดมาจากสุเมเรียนได้แก่:

  • เกษตรกรรม สร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง มีเขื่อน อ่างเก็บน้ำ คลองระบายน้ำ ประตูน้ำ และการเพาะปลูกทำได้ด้วยเครื่องมือประหยัดแรงงาน เช่น คันไถ เครื่องเพาะเมล็ด พวกเขาปลูกข้าวสาลีเป็นหลัก วัวถูกเลี้ยงเพื่อให้ได้นม และแกะถูกเลี้ยงเพื่อขนแกะ
  • หัตถกรรมทำเครื่องปั้นดินเผา ทอผ้า และย้อมผ้า
  • โลหะผสมอุตสาหกรรม เช่น บรอนซ์ ถูกนำมาใช้ทำเครื่องมือ
  • ในด้านเศรษฐกิจ มีการใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและการค้าขาย มีการใช้สัญญาทางการค้า
  • วิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรม วัสดุก่อสร้างที่ใช้คือ “อิฐ” ทำจากดินเหนียวแห้ง และดินเผาเผา สร้างวิหารอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เรียกว่า “ซิกกุรัต”
  • รัฐศาสตร์ ปกครองแบบนครรัฐ มีการแบ่งโครงสร้างชนชั้นในการปกครอง
  • คณิตศาสตร์ มีความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ทั้งพีชคณิตและเรขาคณิต เช่น การคำนวณพื้นฐาน เลขฐาน 60 การแบ่งวงกลมเป็น 360 องศา น้ำหนักและหน่วยวัด
  • ดาราศาสตร์ แบ่งวัน เดือน ปี ด้วยการสร้างปฏิทินจันทรคติที่มีความรู้ทางดาราศาสตร์

วรรณกรรม การประดิษฐ์อักษรอักษรคูนิฟอร์ม เรียกว่า “อักษรคูนิฟอร์ม” (Cuneiform) หนึ่งในตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มหากาพย์ “กิลกาเมช” (Gilgamesh) ถูกจารึกไว้บนแผ่นดินเผาที่เผาไฟในด้านศาสนา มีความเชื่อเรื่องพระเจ้าหลายองค์ มีการเขียนอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์อย่าง “เอนลิล” (Enlil) ไว้เป็นตำนานเทพเจ้า เรื่องราวการกำเนิดของโลกและเหตุการณ์น้ำท่วมโลก มีวัดของเทพเจ้าแต่ละองค์อยู่ในเมือง มีพระสงฆ์ประกอบพิธีทางศาสนาชาวอาโมไรต์ (1900-1600 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นชนเผ่าที่ทรงอำนาจในเมโสโปเตเมีย รองจากชาวอัคคาเดียน โดยสามารถสถาปนาอาณาจักร “บาบิโลน” แห่งแรกได้ สืบทอดอารยธรรมมาจากสุเมเรียนและมีการขยายอารยธรรมดังนี้

  • รัฐศาสตร์ การขยายอาณาเขตและการสถาปนาจักรวรรดิบาบิโลน
  • นิติศาสตร์ ได้สร้างประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แนวคิดสำคัญคือรัฐมุ่งที่จะรักษาความยุติธรรมเพื่อสวัสดิการแก่ราษฎรโดยอาศัยหลักการ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” คือ ใครทำผิด และอย่างไร? จะได้รับการลงโทษเช่นเดียวกัน แนวคิดนี้ยังคงมีอิทธิพลในโลกอาหรับมาจนถึงทุกวันนี้

อารยธรรมกรีก

“กรีก” เป็นชื่อของอารยธรรมที่สำคัญที่สุดในโลกตะวันตก เพราะมันคือต้นตอของความคิด และเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ “กรีก” เป็นคำที่ชาวโรมันเรียก ส่วนชาวกรีกเรียกตัวเองว่า “เฮลลีน” (Hellene) และเรียกดินแดนของตนเองว่า “เฮลลาส” (Hellas)

อารยธรรมกรีกเป็นผลรวมของอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนต่างๆ เช่น ชาวไอโอเนียน ไมซีเนียน และโดเรียน ซึ่งครอบครองพื้นที่รอบๆ ทะเลอีเจียนตั้งแต่สหัสวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช จนถูกดูดกลืนเข้าสู่จักรวรรดิโรมัน ภูมิประเทศส่วนใหญ่ประกอบด้วยภูเขาและเกาะต่างๆ ดังนั้น ชาวกรีกจึงชำนาญการเดินเรือ ทั้งในการทำธุรกิจประมงและการเดินขบวนทำสงคราม แต่ก็ไม่โดดเด่นในเรื่องการเพาะปลูก เนื่องจากมีที่ราบน้อย ดังนั้น กรีซจึงมีรูปแบบการปกครองแบบนครรัฐ โดยรัฐต่างๆ มีความเป็นอิสระจากกัน ซึ่งแตกต่างจากอียิปต์ที่ซึ่งภูมิศาสตร์เอื้ออำนวยให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น

แต่นครรัฐกรีซไม่ได้ก่อตั้งอาณาจักรขนาดใหญ่เช่นอียิปต์หรือบาบิโลน และไม่อนุญาตให้มีการพัฒนาอารยธรรม หรือว่าเทคโนโลยีของกรีกนั้นด้อยกว่าทั้งสองอาณาจักร? เพราะกรีซมีความได้เปรียบในการเดินเรือและค้าขายกับดินแดนต่างๆ สิ่งนี้ทำให้ชาวกรีกมีโลกทัศน์ที่กว้างกว่าชนชาติอื่นๆ ในเวลานั้น

มองเห็นโลกมากขึ้น พบประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้เกิดการพัฒนาความคิดรวมถึงการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างวิทยาศาสตร์ และความรู้และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เกิดจากการเลียนแบบและขยายความรู้ของชนชาติอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ชาวกรีกสามารถพัฒนาระบบความคิดที่โดดเด่นได้ จนกลายเป็นต้นแบบของการคิดในโลกตะวันตกจนถึงปัจจุบันอารยธรรมตะวันตก

ก่อนการเริ่มต้นของอารยธรรมกรีก มีอารยธรรม “มิโนอัน” เกิดขึ้นบนเกาะครีตก่อน จนกระทั่งต่อมามีชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียน ชื่อ “อาเคียน” (Achaean) หรือชื่อใหม่คือ “ไมซีเนียน” (Mycenaean) . ) จากแผ่นดินใหญ่เข้ามาแทนที่ (1,400-1,200 ปีก่อนคริสตกาล) จนกระทั่งชาวไมซีนีถูกรุกรานโดย “โดเรียน” จนกระทั่งอารยธรรมไมซีเนียนสิ้นสุดลง (1,100 ปีก่อนคริสตกาล) และเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคมืด

บทความที่เกี่ยวข้อง